บทละครพูด เรื่องเห็นแก่ลูก
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
https://sites.google.com/site/onlythai/_/rsrc/1297079819843/c2/charpter01-1/poster03.jpg?height=890&width=573
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พุทธศักราช ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า ละครพูด ไว้ว่า น.ละครแบบหนึ่ง
รับอิทธิพลมาจากละครแบบยุโรป ตัวละครพูดบทของตนในการดำเนินเรื่อง
อาจจะพูดเป็นถ้อยคำธรรมดา คำกลอน คำฉันท์
มีการจัดฉากและแต่งกายตามสมัยที่ปรากฏในเรื่อง เช่น ละครพูดเรื่องหัวใจนักรบ
ละครพูดคำกลอนเรื่องพระร่วง ละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธา
รวมไปถึงบทละครพูดเรื่องเห็นแก่ลูกด้วย
ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ)
เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓
พระองค์ทรงเป็นอีกหนึ่งพระราชโอรสที่ทรงศึกษาต่อต่างประเทศในด้านวิชาพลเรือน
และวิชาการทหาร หลังเสด็จเสวยราชย์เป็นมหากษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์จักรี
พระองค์ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้ก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศเช่นเดียวกับพระราชบิดา
ผลงานการประพันธ์ของพระองค์มีหลายประเภท เพราะทรงเชี่ยวชาญทางอักษรศาสตร์
จึงเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งยุคทองทางวรรณกรรมและวรรณคดี
พระราชนิพนธ์ของพระองค์จึงมีพระนามแฝงมากมาย เช่น ศรีอยุธยา พระขรรค์เพชร อัศวพาหุ
นายแก้วนายขวัญ เป็นต้น พระองค์ได้รับการถวายพระเกียรติว่า “ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดละครพูด” เพราะทรงเป็นผู้ก่อตั้ง
“ทวีปัญญาสโมสร” และ “สามัคยาจารย์สโมสร”เพื่อแสดงละครพูดแบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก
ขณะนั้นใช้ชื่อเรียกว่า “ละครทวีปัญญา” แต่ต่อมาก็ได้ตั้งชื่อใหม่เป็นหลักฐานว่า “คณะศรีอยุธยา”
ตามพระนามแฝงของรัชกาลที่ ๖ ที่ใช้พระราชนิพนธ์บทละครพูด
บทละครพูดเริ่มมีในประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
แต่ได้รับความนิยมแพร่หลายและเจริญสูงสุดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดการละครเป็นอย่างยิ่ง และได้ทอดพระเนตรละครและทรงแสดงละครอยู่เป็นประจำ
ตั้งแต่ยังทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ
และด้วยพระปรีชาสามารถยอดเยี่ยมทางอักษรศาสตร์
ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีเรื่องต่าง ๆ รวมไปถึงบทละครพูดเรื่องเห็นแก่ลูก
ทรงใช้พระนามแฝงว่า “พระขรรค์เพชร” ซึ่งเรื่องเห็นแก่ลูกเป็นบทละครพูดที่มีขนาดสั้น
มีความยาวเพียงองก์เดียว คือ ตอนหนึ่ง ๆ ในบทละคร
และมีฉากเดียวในพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ได้แก่ฉากห้องหนังสือ ( กระทรวงศึกษาธิการ,
๒๕๖๑:๑๙ )
บทละครพูดเรื่อง เห็นแก่ลูก
แสดงถึงความรักของพ่อที่มีต่อลูกผ่านพฤติกรรมของตัวละครแต่ละตัว โดยพระยาภักดีนฤนาถ
เป็นตัวแทนของบิดาเลี้ยงที่ทำหน้าที่พ่อด้วยความเต็มใจ ดังในตอนที่ยกมาที่ว่า
พระยาภักดี :
ก็หรือมันไม่จริงเช่นนั้นล่ะ แม่นวลเลือกผัวผิดแท้ทีเดียว
เมื่อจะตายหล่อนก็รู้สึก จึงได้มอบแม่ลออไว้ให้เป็นลูกฉันขอให้ฉันเลี้ยงดูให้เสมอลูกในไส้ฉันเองฉันก็ได้ตั้งใจทะนุถนอมแม่ลออเหมือนโลกในอกฉันฉันได้กระทำหน้าที่พ่อตลอดมาโดยความเต็มใจจริงๆแม่ลออคงจะเป็นพยานว่าฉันไม่ได้ก็ทำให้เสียวาจาที่ฉันให้ไว้แก่แม่นวลเลย.
และในอีกตอนหนึ่งที่พระยาภักดียอมที่จะจ่ายเงินจำนวนมากให้นายล้ำเพื่อไม่ให้ได้พบกับแม่ลออ
เพราะเกรงว่าแม่ลออจะเกิดความเสื่อมเสียด้านชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นลูกคนขี้คุกขี้ตะราง
ความว่า
พระยาภักดี :
ก็จะพูดกันเสียตรง ๆ เท่านั้นก็จะแล้วกัน
เอาเถอะฉันให้แกเดี๋ยวนี้ก็ได้ เท่าไหร่ถึงจะพอ เอาไปสิบชั่งก่อนพไหม?
นายล้ำ :
ไม่รับประทาน.
พระยาภักดี :
ยี่สิบชั่ง!
นายล้ำ :
ไม่รับประทาน!
พระยาภักดี :
ห้าสิบชั่ง!
นายล้ำ :
พุทโธ่! เจ้าคุณ! แต่ที่ผมฉิบหายไปในเรื่องค้าฝิ่นนั่นก็เกือบร้อยชั่งเข้าไปแล้ว.
พระยาภักดี :
เอา! ร้อยชั่งก็เอา!
ส่วนนายล้ำ
เป็นตัวแทนของบิดาผู้ให้กำเนิดซึ่งสามารถเปลี่ยนความเห็นแก่ตัวไปเป็นความเห็นแก่ลูกได้ในที่สุด
โดยความเห็นแก่ลูก(เห็นแก่ตัว) ดังในตอนหนึ่งว่า
นายล้ำ :
เจ้าคุณ! ผมจะต้องพูดตามตรง
ผมน่ะหมดทางหากินกินแล้ว ไม่แลเห็นทางอื่นนอกจากที่จะอาศัยลูกสาวให้เขาเลี้ยง.
พระยาภักดี :
อ๋อ! นี่น่ะ แกต้องการเงินยังงั้นหรือ?
นายล้ำ :
ก็แน่ละ ไม่มีเงินก็อดตายเท่านั้นเอง.
และเมื่อเจอแม่ลออก็ทำให้ใจของนายล้ำเปลี่ยนจากเห็นแก่ลูกเป็นเห็นแก่ลูก
ในตอนที่ว่า
นายล้ำ
: ถ้าใครบอกหล่อนว่า
พ่อหล่อนที่ตายไปน่ะเป็นคนไม่ดีละก็หล่อนเป็นไม่ยอมเชื่อเลยเทียวหรือ?
แม่ลออ :
ดิฉันจะเชื่อยังไง ดูในรูปก็เห็นว่าเป็นคนดี. เออ! นี่คุณพ่อบอกแล้วหรือยังเรื่องดิฉันจะแต่งงาน.
นอกจากนี้ บทละครพูดเรื่องเห็นแก่ลูก
ยังแสดงให้เห็นถึงความรักความกตัญญูต่อพ่อของแม่ลออ ที่แม้จะไม่เคยได้พบตัวจริง หรือไม่เคยที่จะได้รับการเลี้ยงดูก็ยังรักและศรัทธาในตัวของผู้เป็นพ่ออยู่เสมอ
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิถีไทยในด้านความกตัญญูกตเวที
เป็นคุณธรรมที่สำคัญที่ทำให้สังคมดำรงอยู่ด้วยความสงบสุข
สังคมไทยให้ความสำคัญกับความกตัญญูเป็นอย่างมาก สักเกตได้จากขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามทั้งหลายของคนไทยล้วนแต่มีความกตัญญูกตเวทีเป็นพื้นฐานสำคัญ
ซึ่ง กตัญญู คือ ความรู้คุณ หมายถึงความเป็นผู้มีใจกระจ่าง มีสติปัญญาบริบูรณ์
รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นกระทำแล้วแก่ตนจนทำให้ได้ดีมีสุขอยู่ในปัจจุบันไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม
ย่อมระลึกถึงด้วยความซาบซึ้งอยู่เสมอ (กรมศาสนา,๒๕๒๑ :๑๓)
อ้างอิงhttps://sites.google.com/site/onlythai/_/rsrc/1297079819843/c2/charpter01-1/poster03.jpg?height=890&width=573
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น