นำเรื่องเสริม เติมความรู้ พระบรมราโชวาท ม.3

พระบรมราโชวาท
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้วามหมายของคำว่า ราโชวาท ไว้ว่า น. คำสั่งสอนของพระราชา ใช้ว่า พระบรมราโชวาท

ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๕)  จากเรื่องพระบรมราโชวาทกล่าวถึงนั้น เป็นพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าจอมอยู่หัว  ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว        และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี  ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖       เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๑  และสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ รวมระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ได้  ๔๒  ว่าที่ร้อยตรี ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณ  และวันเพ็ญ เหลืองอรุณ,๒๕๖๒ : ๒๖๗-๒๖๘ )





พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรีชาสามารถในหลายด้าน  เช่น ในด้านการเมืองการปกครอง เมื่อพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์นั้น ประเทศไทยกำลังอยู่ในระหว่าสมัยเก่าและสมัยใหม่ การเมืองการปกครองยังไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมาะสมกับยุคสมัย  จึงได้ทรงพระราชดำริแก้ไขการปกครองใหม่ และมีการแยกงานออกเป็นกระทรวงต่างๆ ๑๒ กระทรวง  และได้จัดให้มีความเจริญในด้านต่างๆเกิดขึ้น เช่น  การรถไฟ การไปรษณีย์โทรเลข การสุขาภิบาล เป็นต้น และยังทรงเห็นว่าว่าการใดที่มีอยู่แล้วควรแก้ไขให้ดีขึ้น เช่น การศึกษา การทหาร เป็นต้น และพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ที่ชาวไทยจดจำและติดตรึงใจก็คือ การเลิกทาส ซึ่งทำให้พระองค์ได้รับพระสมัญญานามว่า พระปิยมหาราช
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านการประพันธ์อีกด้วย  พระองค์ได้ทรงนิพนธ์วรรณกรรมทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง หนังสือที่พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นร้อยแก้ว แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท พระบรมราชาธิบาย  พระบรมราโชวาท  จดหมายเหตุเสด็จประพาส  และที่ทรงพระราชนิพนธ์เป็นอย่างถ้อยคำของผู้อื่น  และพระราชนิพนธฺประเภทร้อยกรองก็มีอยู่หลายเรื่องและหลายประเภท  ที่เด่นที่สุดประเภทบทละครนั้นได้แก่เรื่อง  เงาะป่า  บทละครประเภทล้อเลียนได้แก่  วงศ์เทวราช  ประเภทลิลิตนิทราราชาคริต  เป็นต้น   (ว่าที่ร้อยตรี ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณ  และวันเพ็ญ เหลืองอรุณ,๒๕๖๒ : ๑๓๒ )
พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘  เป็นคำสั่งสอนตักเตือนพระเจ้าลูกยาเธอ  ซึ่งส่งไปศึกษาวิชาการต่างๆในทวีปยุโรปพร้อมกัน      ๔ พระองค์ พระบรมราโชวาทนี้แม้จะทรงพระราชนิพนธ์พระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอเป็นการส่วนพระองค์  แต่ศิลปะการประพันธ์ที่โดดเด่น  เนื้อหาความเป็นคำสอนที่มีความลึกซึ้งกินใจ  เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทั่วไป จึงได้รับความนิยมอันเชิญมาพิมพ์เป็นแบบเรียนบ้าง  เป็นหนังสืออ่านประกอบวิชาภาษาไทยบ้าง  รวมทั้งพิมพ์เผยแพร่แก่ผู้อ่านทั่วไปอยู่เป็นนิจ  เนื่องจากอ่านเมื่อใดก็รู้สึกประทับใจเพราะเป็นคำสอนที่เหมาะแก่สังคมทุกยุคทุกสมัย
ซึ่งจากความในพระบรมราโชวาทที่ทรงย้ำอย่างยิ่งกับพระพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๔ พระองค์  คือมิให้ถือพระองค์ว่าเป็นพระราชโอรสพระเจ้าแผ่นดินแล้วใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเกินไปจนเป็นหนี้  ทรงเน้นเรื่องการประหยัดค่าใช้สอยในทุกด้าน  และทรงย้ำให้ตระหนักว่า  ค่าใช้จ่ายที่โปรดเกล้าฯ  พระราชทานให้ไปทรงศึกษานั้นแม้จะเป็นพระราชทรัพย์ในส่วนที่เป็นเงินพระคลังข้างที่  แต่ก็เป็นเงินส่วนแผ่นดินที่ราษฎรทูลเกล้าฯ  ถวายให้ทรงใช้สอยด้วยทรงเป็นผู้ทำนุบำรุงรักษาบ้านเมือง  ดังความในพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า
...เพราฉะนั้นจงจำไว้ตั้งใจอยู่ให้เสมอว่าตัวเป็นคนจน  มีเงินเฉพาะแต่จะรักษาความสุขของตัวพอสมควรเท่านั้น  ไม่มั่งมีเหมือนใครๆ  อื่น  และไม่เหมือนกับผู้ดีฝรั่งเลย  ผู้ดีฝรั่งเค้ามั่งมีสืบตระกูลกันมา  ได้ดอกเบี้ยค่าเช่าต่างๆ  ตัวเองเป็นผู้ได้เงินจากราษฎรเลี้ยง  พอสมควรที่จะเลี้ยงตัวเองและรักษาเกียรติยศเทานั้น  อย่าไปอวดมั่งอวดมีเทียบเทียมกับเขาให้ฟุ้งซ่านไปเป็นอันขาด
          นอกจากนี้ยังมีเนื้อความที่เป็นการตักเตือนเกี่ยวกับวิชาที่พระเจ้าลูกยาเธอทรงศึกษาในชั้นต้น  ได้แก่  ภาษาต่างประเทศ  และวิชาเลขต้องศึกษาให้แม่นยำชัดเจนคล่องแคล่ว  และถึงแม้จะทรงศึกษาภาษาต่างประเทศแล้วก็ต้องศึกษาภาษาไทยพร้อมกันไปด้วย  ดังข้อความในพระบรมราโชวาทว่า
ต้องไปเรียนภาษาอื่นเพื่อที่จะได้เรียนวิชาให้กว้างขวางออก  แล้วจะกลับมาใช้เป็นภาษาไทยทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้นจะทิ้งภาษาของตัวเองให้ลืมถ้อยคำที่จะพูดให้สมควรเสีย  หรือจะลืมวิธีเขียนหนังสือไทยที่ตัวได้ฝึกหัดนั้นเสียแล้วนั้นไม่ได้เลย  ถ้ารู้แต่ภาษาต่างประเทศ ไม่รู้เขียนอ่านแปลลงเป็นภาษาไทยได้ก็ไม่เป็นประโยชน์อันใด  ถ้าอย่างนั้นหาจ้าแต่งฝรั่งมาใช้เท่าไหร่ๆ  ก็ได้  ที่ต้องการนั้นต้องให้กลับแปลภาษาต่างประเทศลงเป็นภาษาไทยได้  แปลภาษาไทยออกเป็นภาษาต่างประเทศได้  จึงจะนับว่าเป็นประโยชน์ อย่าตื่นตัวว่าได้ไปร่ำเรียนภาษาฝรั่งแล้วลืมภาษาไทย
(มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนสุดา, ๒๕๕๐ : ๓๐๒-๓๐๓ )
ศิลปะคำประพันธ์
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.  ๒๕๓๐ ให้ความหมายคำว่า ศิลปะ ไว้ว่า  ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้ปรากฏ ซึ่งสุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ความอัจฉริยภาพ พุทธิปัญญา ประสบการณ์ รสนิยม และทักษะของแต่ละคน เพื่อความพอใจ ความรื่นรมย์ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีหรือ ความเชื่อทางศาสนา
เรโอ ตอลสตอย  (อ้างถึงใน พิทยะ ศรีวัฒนสาร, มปป : ออนไลน์) ได้ให้ความหมายของคำว่า ศิลปะ ไว้ว่า ศิลปะ คือ  การถ่ายทอดความรู้สึก ศิลปะเป็นวิธีสื่อสารความรู้สึกระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
จากที่กล่าวมาข้างต้น คำว่า  ศิลปะ  หมายถึง  สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อตอบสนองอารมณ์และประโยชน์ใช้สอย
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.  ๒๕๕๔ ให้ความหมายของคำว่า  ประพันธ์   ไว้ว่า    ก. แต่ง, เรียบเรียง, ร้อยกรอง, ผูกถ้อยคำเป็นข้อความเชิงวรรณคดี 
          จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า  ศิลปะการประพันธ์ หมายถึง  การเรียงร้อยถ้อยคำที่เกิดจากการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ออกมาในรูแบบคำประพันธ์เชิงวรรณกรรมและวรรณคดี เพื่อที่จะสื่อและสนองสนองอารมณ์ของผู้ที่ได้อ่าน
          และในเนื้อความ ใช้คำว่า จง...ในประโยคที่เป็นคำเตือน ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อแม่ที่ตามไปตักเตือนลูก เช่น
จงรู้สึกตัวเป็นนิจเถิด ว่าเกิดมาเป็นเจ้านายมียศบันดาศักดิ์มากจริงอยู่ แต่ไม่เป็นการจำเป็นเลยที่ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น จะต้องใช้ราชการอันเป็นช่องที่จะหาเกียรติยศชื่อเสียงแลทรัพย์สมบัติ...
“...จงนึกไว้ให้เสมอว่าเงินทองที่แลเห็นมาก ๆ ไม่ได้เป็นของหามาได้โดยง่ายเหมือนเวลาที่จ่ายไปง่ายนั้นเลย...

ใช้ภาษาสั่งสอนที่คมคายกินใจ โดยการใช้โวหารเปรียบเทียบที่รุนแรง เช่น
          “...ถ้าจะถือว่าเกิดมาเป็นเจ้านายแล้วนิ่งๆ อยู่จนตลอดชีวิตก็เป็นสบายดังนั้น จะไม่ผิดอันใดกับสัตว์ดิรัจฉานอย่างเลวนัก สัตว์ดิรัจฉานมันเกิดมากิน ๆ นอน ๆ แล้วก็ตาย แต่สัตว์บางอย่างยังมีหนังมีเขามีกระดูกเป็นประโยชน์ได้บ้าง แต่ถ้าคนประพฤติอย่างเช่นสัตว์ดิรัจฉานแล้ว จะไม่มีประโยชน์อันใดยิ่งกว่าสัตว์ดิรัจฉานบางพวกไปอิก เพราะฉะนั้นจงอุสาหะที่จะเรียนวิชาเข้ามาเป็นกำลังที่จะทำตัวให้ดีกว่าสัตว์ดิรัจฉานให้จงได้ จึงจะนับว่าเป็นการได้สนองคุณพ่อ ซึ่งได้คิดทำนุบำรุงเพื่อจะให้ดีตั้งแต่เกิดมา
มีการใช้ภาพพจน์เปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพที่ชัดเจน เช่น
          “...การที่มีพ่อเป็นเจ้าแผ่นดินนั้น จะไม่เป็นการช่วยเหลืออุดหนุนแก้ไขอันใดได้เลย อิกประการหนึ่งชีวิตสังขารของมนุษย์ไม่ยั่งยืนยืดยาวเหมือนเหล็กเหมือนศิลา ถึงโดยว่าจะมีพ่ออยู่ในขณะหนึ่ง ก็คงจะมีเวลาที่ไม่มีได้ขณะหนึ่งเป็นแน่แท้ ถ้าประพฤติความชั่วเสียแต่ในเวลามีพ่ออยู่แล้ว โดยจะปิดบังซ่อนเร้นอยู่ได้ด้วยอย่างหนึ่งอย่างใด เวลาไม่มีพ่อ ความชั่วนั้นคงจะปรากฏเป็นโทษติดตัวเหมือนเงาตามหลังอยู่ไม่ขาด...
อ้างอิง
https://mpics.mgronline.com/pics/Images/559000005080401.JPEG

ความคิดเห็น